วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย

คลิปวิดิโอการสอนเด็กปฐมวัย เรื่อง สีเต้นระบำ


     ครูหยดน้ำยาล้างจานลงไปในจานที่ใส่นมและสีผสมอาหาร จากนั้นถามเด็กว่า "เด็กๆคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น" จากนั้นให้เด็กสังเกตการเปลี่ยนแปลง

หลักการวิทยาศาสตร์ ของสีเต้นระบำ ในน้ำนมประกอบไปด้วย น้ำ โปรตีน แร่ธาตุ และไขมัน น้ำยาล้างจานจะไปทำให้โมเลกุลของโปรตีนและไขมันเกิดการเปลี่ยนแปลง และแตกกระจาย โค้ง บิดเบี้ยว ม้วน (ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราสามารถล้างจานมันๆ ได้อย่างสะอาดหมดจดนั่นเอง) และสีผสมอาหารที่หยดลงไปในนมจะช่วยให้เราสามารถสังเกตุการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นนั้นได้อย่างง่ายดาย

สรุปบทความ

สรุปบทความ
เรื่อง วิทย์ - คณิต สำคัญอย่างไรต่ออนาคตของชาติ

     การเรียนรู้ในช่วงชีวิต 0-6 ขวบ จะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์แต่ละคนจะโตขึ้นเป็นคนอย่างไร ขึ้นอยู่กับช่วงวัยนี้ เพราะเซลล์สมองจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เราจึงให้ความสำคัญต่อเด็กในวัยนี้ "คุณภาพของครูเป็นเรื่องที่สำคัญ ครูต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู ต้องมีโอกาสก้าวหน้าและมีแรงจูงใจ ได้แก่ ครู หลักสูตรต้องเปลี่ยนแปลง คือ 70-30 % ระหว่างเล่น และเรียน เด็กปฐมวัยต้องเน้นที่การเล่นมากกว่า ที่สำคัญการปฏิรูปการศึกษา ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียวแต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของผู้ปกครองและทุกส่วนในสังคม"
     การให้การศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เรื่องของกระบวนการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญกว่าเนื้อหาและแบบฝึกหัด ดังนั้น จึงต้องมีการทำความเข้าใจกับแม่ ผู้ปกครอง เพราะหลายคนเมื่อส่งเข้าเรียนอนุบาลมักจะคาดหวังว่าลูกจะอ่านออก เขียนได้ ซึ่งเรื่องนี้ ดร.วรากรณ์ เห็นว่า การอ่านออกเสียง เขียนได้ เป็นสิ่งสำคัญก็จริง เพราะการคิด การอธิบายความ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีความสามารถทางภาษา แต่ไม่ใช่ในระดับอนุบาล แต่ควรจะเริ่มต้นในระดับประถมศึกษาปีที่ 2 ขึ้นไป 
     ทั้งนี้ในระดับปฐมวัยนั้น การเรียนการสอนควรจะเป็นการกระตุ้นให้เขาค้นหา ค้นคว้า ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างนักวิทยาศาสตร์น้อยขึ้นมามากกว่า อย่าสกัดกั้นความอยากรู้ อยากเห็นของเด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องรู้ว่า ในวัยนี้ กำลังเรียนรู้อะไร เราควรจะส่งเสริมอย่างไร
     สสวท. ได้มีการสร้างกรอบมาตรฐานและคู่มือกรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์ปฐมวัย

กรอบมาตรฐานวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย มีดังนี้
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
สาระที่ 5 พลังงาน
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กรอบมาตรฐานคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย มีดังนี้
สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ
สาระที่ 2 การวัด
สาระที่ 3 เรขาคณิต
สาระที่ 4 พีชคณิต
สาระที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น
สาระที่ 6 ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์

สรุปวิจัย

สรุปวิจัย 
เรื่อง การคิดอย่างมีเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ผู้วิจัย  นางสายทิพย์ ศรีแก้วทุม

ความสำคัญของการวิจัย
     การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบปกติ ซึ่งทำให้ได้ข้อสรุปถึงวิธีการที่จะส่งผลต่อการพัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผลของเด็กปฐมวัย และจะเป็นเเนวทางใหม่สำหรับครูและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัย ที่จะนำไปใช้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป

จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
     เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการคิดอย่างมีเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบปกติ  

ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
   -  ประชากร
         ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปี อยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านทรัพย์สมบูรณ์  อำเภอภูผาม่าน จังหวัด ขอนเเก่น
   - กลุ่มตัวอย่าง 
         กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านทรัพย์สมบูรณ์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2541 โดยการสุ่มอย่างเจาะจง จำนวน 30 คน แล้วสุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง โดยจับสลากรายชื่อนักเรียนเเบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
1.ผนการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์
     แผนการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
     แผนการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์แบบปกติ
2.แบบทดสอบวัดความสามารถการคิดอย่างมีเหตุผล จำนวน 50 ข้อ แบ่งออกเป็น 5 ชุด
1.แบบทดสอบด้านการจำเเนก
2.การจัดประเภท  
3.อุปมาอุปมัย 
4.อนุกรม  
5.แบบทดสอบสรุปความ
ทั้ง 4 ชุดนี้เป็นแบบทดสอบที่เป็นรูปภาพเหมือนจริงและรูปทรงเรขาคณิต

วิธีการดำเนินการทดลอง 
1.ทำความคุ้นเคยกับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างรวมระยะเวลา 1สัปดาห์
2.ทำการทดลองก่อนทดลองกับเด็กปฐมวัยด้วยเเบบทดสอบวัดความสามารถการคิดอย่างมีเหตุผล 5     ด้าน ด้านละ 10 ข้อ รวม 50 ข้อ
3.ผู้วิจัยดำเนินการทดลองด้วยตนเองกับกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งกลุ่มการทดลอง และกลุ่มควบคุม โดยเเต่ละกลุ่มทำกิจกรรมทุกวัน วันละ 20 นาที เป็นเวลา 8 สปดาห์ๆละ 5 วัน รวม 40 ครั้ง
4.เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังการทดลองทั้ง 2 กลุ่ม ด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถการคิดอย่างมีเหตุผล ชุดเดียวกับการทดสอบก่อนทำการทดลอง

สรุปผลการศึกษค้นคว้า
 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับเเบบปกติหลังการทดลองมีความสามารถด้านการคิดอย่างมีเหตุผลเเตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5โดยปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีคะเเนนการคิดอย่างมีเหตุผลสูงกว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบปกติ

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 16

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 16
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559
เวลา 13.30 - 17.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
     วันนี้ อาจารย์ให้สาธิตการสอนของแต่ละหน่วย หน่วยละ 1 วัน (วันที่จับฉลากได้)
กลุ่มของดิฉัน หน่วยส้ม วันที่นำมาสาธิตคือ วันพุธ เรื่องการถนอมส้ม

     ในขั้นแรกครูนำส้มเชื่อมและส้มสดมาให้เด็ก ดู ดม ชิมรส หลังจากนั้นให้เด็กนำสติ๊กเกอร์มาแปะลงในตารางความสำรวจความชอบระหว่างส้มเชื่อมกับส้มสด จากนั้นครูถามเหตุผลที่เด็กชอบ/ไม่ชอบ ส้มเชื่อมและส้มสด โดยครูนับจำนวนสติ๊กเกอร์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง

     เมื่อนับจำนวนเสร็จแล้ว ครูจะถามคำถามว่า เด็กๆคิดว่า เราจะนำเมล็ดส้มมาเล่นอย่างไรได้บ้าง



จากนั้น เปิดคลิปวิดิโอเพื่อค้นหาเครื่องมือที่จะทำให้เมล็ดส้มเคลื่อนที่ได้ และนำมาทำเป็นของเล่น



จากนั้นครูสาธิตวิธีการทำ ขวดบ้าพลัง


แจกอุปกรณ์ให้เด็กได้ลงมือทำชวดบ้าพลังด้วยตนเอง


เมื่อทำของเล่นขวดบ้าพลังเสร็จแล้ว ให้เด็กนำมาเล่นแข่งกัน


ตัวอย่างการสอนของกลุ่มเพื่อน












การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
     เห็นถึงวิธีการสอนแบบจริงๆ เนื่องจากจำลองเหตุการแบบจริงๆ เห็นภาพ ทำให้เห็นข้อดี และข้อบกพร่องของวิธีการสอนกลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มของตนเองด้วย

ประเมินผู้สอน
     อาจารย์แนะนำกลุ่มต่างๆ พูดถึงข้อดี เพื่อให้ข้อดีนั้นคงอยู่ พูดถึงข้อเสีย เพื่อให้นักศึกษานำไปปรับปรุงเพื่อนำไปใช้ในอนาคต

ประเมินตนเอง
     ตอนที่ต้องออกไปพูดสอน ตื่นเต้น พูดผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ประเมินสภาพแวดล้อม
     เพื่อนๆสนุกสนานกับการเรียนวันนี้ เพราะได้แสดงเป็นเด็ก ได้ทำกิจกรรมของกลุ่มอื่นที่ได้เตรียมเนื้อหามาทดลองสอนในหน่วยของตนเอง

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 15

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 15
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2559
เวลา 13.30 - 17.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
   วันนี้ เป็นการเขียนแผนการสอนของแต่ละวัน

ตัวอย่างแผนการสอนของหน่วยส้ม

วันจันทร์ เรื่อง สายพันธุ์
วันอังคาร เรื่อง ลักษณะ
วันพุธ เรื่อง การถนอมอาหาร
วันพฤหัสบดี เรื่อง ประโยชน์และข้อควรระวัง
วันศุกร์ เรื่อง การทำน้ำส้มคั้น (Cooking)

โดยกลุ่มของดิฉัน จะสาธิตวิธีการสอนของวันพุธ เรื่อง การถนอมส้ม

วัตถุประสงค์
1.เด็กสามารถบอกวิธีการถนอมอาหารได้
2.เด็กสามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างส้มสดกับส้มที่ผ่านการถนอมอาหารได้

สาระที่ควรเรียนรู้
1.การถนอมอาหารของส้มมีหลากหลายวิธี เช่น ส้มเชื่อม ส้มกวน ส้มแห้ง

ประสบการณ์สำคัญ
- ด้านร่างกาย
   การต่อของ และการแยกชิ้นส่วน
- ด้านอารมณ์-จิตใจ
   การแสดงออกอย่างสนุกสนานกับเรื่องราว
- ด้านสังคม
   การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการเคารพความคิดเห็นผู้อื่น
- ด้านสติปัญญา
   การแสดงออกความรู้ด้วยคำพูด การพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
   1.ครูให้เด็กเล่นเกมภาพตัดต่อ ส้มเชื่อม กับ ส้มสด
ขั้นสอน
   2.ครูใช้คำถาม ถามเด็กๆ เราจะทำอย่างไรที่จะเก็บส้มไว้กินได้นานๆ
   3.ครูนำส้มสดและส้มที่ผ่านการถนอมอาหารมาให้เด็กดู
   4.ครูนำส้มเชื่อมและส้มสดมาให้เด็กๆ ดู ดมกลิ่น และชิมรส
   5.ครูถามเด็กว่า เด็กชอบส้มเชื่อมหรือส้มสดมากกว่ากัน ถ้าเด็กๆชอบส้มแบบไหนให้เด็กนำสติ๊กเกอร์ไปติดลงบนตารางที่ครูเตรียมไว้
   6.ครูและเด็กช่วยกันนับจำนวนสติ๊กเกอร์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ขั้นสรุป
   7.ครูสรุปผลว่าเด็กชอบส้มสดหรือส้มเชื่อมมากกว่ากัน และถามเหตุผลที่ชอบและไม่ชอบ จากนั้นครูเขียนเหตุผลเด็กลงในตารางที่ครูเตรียมไว้

สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
   1.เกมการศึกษา
   2.ส้มที่ผ่านการถนอมอาหาร ส้มเชื่อม ส้มกวน ส้มแห้งสามรส
   3.ตาราง
   4.สติ๊กเกอร์

การวัดและประเมินผล
   1.แบบบันทึกการสังเกต ฟังจากการตอบคำถามและอธิบายความแตกต่างของส้มสดและส้มเชื่อม

การบูรณาการ
   1.วิทยาศาสตร์
   2.คณิตศาสตร์
   3.สังคม
   4.ภาษา

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
     นำไปเขียนแผนได้ในอนาคต

ประเมินผู้สอน
     อาจารย์อธิบายเนื้อหาการเรียน และวิธีการสอนอย่างละเอียด

ประเมินเพื่อน
     เพื่อนๆตั้งใจทำงานตามที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ โดยตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ปรึกษากันเอง และปรึกษาอาจารย์ด้วย

ประเมินตนเอง
     ช่วยเพื่อนคิดแผนการสอน และแบ่งหน้าที่ในการสอน ว่าใครจะสอนตรงส่วนไหน

ประเมินสภาพแวดล้อม
     การเรียนวันนี้ตึงเครียดเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการเขียนแผนการสอน แต่ก็ได้เห็นเพื่อนๆช่วยกันคิดแผน โดยใครรับผิดชอบเขียนแผนวันไหน ก็จะรวมกัน เพื่อจับกลุ่มปรึกษากัน

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 14

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 14
วันที่ 8 พฤษจิกายน 2559
เวลา 09.00 - 13.00 น.

เข้าร่วมกิจกรรมการสาธิตการสอนกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ







บันทึกการเรียน ครั้งที่ 13

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 13
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559
เวลา 13.30 - 17.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
     วันนี้ นำเสนอคลิปวิดิโอ การทำของเล่นวิทยาศาสตร์ของแต่ละกลุ่ม




2.พลังปริศนา



3.รถหลอดด้าย



4.ลูกข่างนักสืบ


การทำ mind map บูรณาการการสอน

1. คณิตศาสตร์ 6 มาตรฐาน
   สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ
   สาระที่ 2 การวัด
   สาระที่ 3 เรขาคณิต
   สาระที่ 4 พีชคณิต
   สาระที่ 5 การวิเคราห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น
   สาระที่ 6 ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ล

2.วิทยาศาสตร์

     ทักษะทางวิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ มีดังนี้
   1.การสังเกต
   2.การวัด
   3.การคำนวน
   4.การจำแนกประเภท
   5.การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา
   6.การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล
   7.การลงความเห็นจากข้อมูล
   8.การพยากรณ์
   9.การตั้งสมมติฐาน
   10.การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
   11.การกำหนดและควบคุมตัวแปร
   12.การทดลอง
   13.การตีความหมายข้อมูล และการลงข้อมูล

     กรอบมาตรฐานวิทยาศาสตร์ 8 มาตรฐาน มีดังนี้
   สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
   สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
   สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
   สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ 
   สาระที่ 5 พลังงาน
   สาระที่ 6 กระบวนการการเปลี่ยนแปลงของโลก
   สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
   สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนลยี

     กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
   1.กำหนดขอบข่ายปัญหา
   2.ตั้งสมมติฐาน
   3.ทดลอง
   4.วิเคราะห์
   5.สรุปผล

3.ศิลปะ
   1.วาดภาพ ระบายสี
   2.การปั้น
   3.การฉีก ตัด แปะ
   4.การประดิษฐ์
   5.การพิมพ์ภาพ
   6.การเล่นกับสี

4.สังคม
   1.การอยู่ร่วมกับผู้อื่น
   2.การช่วยเหลือตนเอง

5.สุขศึกษาและพลศึกษา
   1.กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
   2.กิจกรรมกลางแจ้ง

 mind map บูรณาการกับกิจรรม 6 หลัก



การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
   - ได้รู้วิธีการทำของเล่นจากวัสดุเหลือใช้ และการใช้ T (Technology)มาใช้ในการสอนแบบ STEM
   - รู้วิธีการบูรณาการสอนหน่วยต่างๆกับ 6 กิจกรรมหลัก

ประเมินผู้สอน
   อาจารย์อธิบายทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ตรงไหนนักศึกษามีคำถาม ก็จะตอบคำถามให้นักศึกษาเข้าใจอยางแท้จริง

ประเมินเพื่อน
   เพื่อนพยายามคิดตามที่ครูสอน ตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ยกมือถามทันที่ ทำให้เพื่อนคนอื่นๆในห้องที่ไม่เข้าใจ ได้รู้คำตอบไปด้วย

ประเมินตนเอง
   ตอนแรกคิดกิจกรรมหลักที่จะนำมาบูรณาการไม่ออก ก็พยายามคิดและปรึกษากับเพื่อนในกลุ่ม จนได้กิจกรรมที่เหมาะสมมาบูรณาการการเรียนการสอน

ประเมินสภาพแวดล้อม
     บรรยากาศสนุกสนานไม่ตึงเครียด




บันทึกการเรียน ครั้งที่ 12

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 12
วันที่ 25 ตุลาคม 2559
เวลา 13.30 - 17.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
      วันนี้นำเสนอ  mind map ของแต่ละกลุ่มที่นำไปแก้ไข เนื้อหาข้อมูล และความสมดุลของ mind map


กลุ่มของดิฉันทำหน่วยส้ม






การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
     รู้วิธีทำ mind map ที่ถูกต้อง ต้องเรียงตามเข็มนาฬิกา โดยเรียงจาก มุมบนด้านซ้ายลงไปเรื่อยๆ และแย่งการเขียนเนื้อหาให้ทั้งสองข้างสมดุลกัน

ประเมินผู้สอน
     อาจารย์ให้คำแนะนำวิธีการทำ mind map ทุกขั้นตอน ทำให้เข้าใจและทำงานออกมาอย่างถูกต้อง

ประเมินเพื่อน
    เพื่อนๆตั้งใจนำเสนองาน ข้อบกพร่องที่อาจารย์ได้บอก เพื่อนได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น

ประเมินตนเอง
    ตั้งใจฟังเพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนอ เพื่อจะนำความรู้ไปใช้ได้ในอนาคต

ประเมินสภาพแวดล้อม
     แอร์หนาวมาก ไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้ ถ้าหากปิดก็จะร้อน




บันทึกการเรียน ครั้งที่ 11

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 11
วันอังคาร ที่ 18 ตุลาคม 2559
เวลา 13.30 - 17.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
         วันนี้นำเสนอของเล่นประดิษฐ์ของแต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ 3คน) โดยแต่ละกลุ่มมีรายชื่อของเล่น ดังนี้
1.ไข่มหัศจรรย์
2.แม่เหล็กเต้นระบำ
3.วงจรของโลก
4.Twin Plane
5.ระบบสุริยะจักรวาล
6.ผีเสื้อเริงระบำ
7.จานหรรษา
8.นาฬิกาธรรมชาติ
9.ภาพขยายใต้สายน้ำ

                                       โดยกลุ่มของดิฉัน ทำของเล่น คือ ภาพขยายใต้สายน้ำ





อุปกรณ์ การประดิษฐ์ภาพขยายใต้สายน้ำ
1.ถังน้ำขนาด 5 ลิตร 2 ใบ
2.พลาสติกใส ความยาว 1 เมตร
3.เชือก 2 เส้น
4.วัตถุที่นำมาให้สังเกต (วัตถุควรเหมือนกัน จะได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน)

วิธีการทำ

1.ตัดส่วนบนของถังน้ำ โดยตัดทั้ง 1 ใบ ให้มีขนาดเท่ากัน



2.ตัดช่องสีเหลี่ยมที่ด้านล่างถัง ให้มีขนาดพอเหมาะที่จะใส่วัตถุที่จะสังเกต (ตัดทั้ง 2 ใบ)


3.นำพลาสติกใส่มาคลุมส่วนบนของถังที่ตัดออกไป 
เพื่อทำให้พลาสติกหย่อนเล็กน้อย(เอาไว้ใส่น้ำ) จากนั้นผูกด้วยเชือกให้แน่น
(ทำให้เหมือนกันทั้ง 2 ถัง)


วิธีการเล่น
1.เทน้ำใส่ลงบนแผ่นพลาสติกใสที่หุ้มอยู่บนถัง โดยใส่น้ำทั้ง 2 ถังให้มีปริมาณที่เท่ากัน
2.ใส่วัตถุที่จะสังเกตในช่องด้านล่างถัง โดยวัตถุจะต้องเหมือนกัน เพื่อให้สังเกตถึงความแตกต่างได้ง่ายชึ้น
3.สังเกตความแตกต่าง โดยมองจากด้านบนของถังน้ำ

ของเล่นชิ้นนี้ มีหลักวิทยาศาสตร์ คือ การหักเหของแสง
         การหักเหของแสง เป็นสมบัติอย่างหนุ่งของแสงโดยปกติแสงจะเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อเดินทางผ่านวัตถุโปร่งใสชนิดเดียวกัน แต่บางครั้งการเดินทางของแสงผ่านวัตถุ 2 ชนิด เช่น แสงเดินทางผ่านอากาศแล้วผ่านไปในน้ำ การเดินทางของแสงในวัตถุทั้ง 2 จะเป็นเส้นตรง แต่ไม่อยู่ในแนวเดียวกัน นั่นคือ แสงจะเกืดการหักเหไปจากแนวเดิม ตรงรอยต่อของระหว่างผิวของวัตถุทั้งสองชนิดนั้น

การจัดประสบการณ์แบบ STEM

1.หลักการเลือก หัวข้อเรื่อง
   - เลือกเรื่องที่ใกล้ตัวเด็ก
   - เลือกเรื่องที่มีผลกระทบต่อเด็ก

2.นำหัวข้อเรื่องมาแตกองค์ความรู้
   - สายพันธุ์ , ประเภท
   - ลักษณะ
   - การดูแลรักษา , การเจริญเติบโต
   - การถนอมอาหาร , การแปรรูป
   - ประโยชน์ , โทษ

3.เครื่องมือการเรียนรู้
   - คณิตศาสตร์
   - ภาษา

4.เรื่องต้องสัมพันธ์กับกรอบมาตรฐานวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย
   สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
   สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
   สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
   สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ 
   สาระที่ 5 พลังงาน
   สาระที่ 6 กระบวนการการเปลี่ยนแปลงของโลก
   สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
   สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนลยี

5.วิธีการทางวิทยาศาสตร์
   - ตั้งขอบข่ายปัญหา
   - ตั้งสมมติฐาน
   - การทดลอง
   - วิเคราะห์ สรุป

6.คำนึงถึงเจตคติทางวิทยาศาสตร์
   - ความอยากรู้ อยากเห็น
   - ความพยายาม
   - ความรอบขอบ มีระเบียบ
   - ความซื่อสัตย์
   - มีเหตุผล
   - ใจกว้าง

ตัวอย่างการแตกองค์ความรู้


การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
   สามารถเขียน mind map ได้ถูกวิธี และครอบคลุมเนื้อหาครอบถ้วน

ประเมินผู้สอน
   อาจารย์คอยสอนทีละขั้นตอน ค่อยๆอธิบายอย่างใจเย็น ทำให้เข้าใจงาน และวิธีการทำงานอย่างแท้จริง

ประเมินเพื่อน
   เพื่อนๆตั้งใจทำงาน พยายามทำงานออกมาให้ดีที่สุด

ประเมินตนเอง
   ช่วยเพื่อนแสดงความคิดเห็น และช่วยทำงานกลุ่มอย่างตั้งใจ

ประเมินสภาพแวดล้อม
     สนุกสนาน เนื่องจากได้ทำงานร่วมกับเพื่อนและได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ทำให้การเรียนวันนี้ไม่ค่อยตึงเครียด











วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 10

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 10
วันที่ 11 ตุลาคม 2559
เวลา 13.30 - 17.30 น.
                ความรู้ที่ได้รับ
                     วันนี้ ครูให้เขียนวิธีทำของเล่นที่ประดิษฐ์ (โทรศัพท์ รับสาย) โดยเขียนเป็นลำดับขั้น แต่เขียนข้อความให้กระชับ เข้าใจง่าย


                จากนั้นเมื่อเขียนเสร็จให้เอาไปติดที่กระดาน โดย 1 แถวติด 3 แผ่น (3คน)


-           การเขียนผังกราฟฟิก เพื่อให้เขียนกระชับ และเข้าใจง่าย
-           ผังกราฟฟิก เป็นเครื่องมือในการนำเสนอ เป็นตัว T = Technology (STEM) ข้างในเป็นข้อมูลที่เป็นลำดับขั้น คือ การวางแผน เป็นตัว E = Engineer (STEM) และการเขียนเป็นลำดับ เป็น M = Mathematics (STEM)

จากนั้นให้จับกลุ่ม 8 คน (มี 4 กลุ่ม) แล้วเลือกของเล่น 1 ชิ้น เพื่อจะนำมาสอนเด็ก
ครูยกตัวอย่างเช่น ของเล่นคานดีด แล้วตั้งคำถามกับเด็กว่า ถ้าครูเอาปอมๆไปวางไว้ตรงนั้น แล้วครูกดตรงนี้ เด็กๆคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น (เด็กได้สังเกต) จากนั้นหาว่า คานดีดของใครดีกว่า(ให้เด็กแข่งกัน) โดยจะมีเครื่องมือวัด เช่น นิ้ว,ฝ่ามือ เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว ให้เขียนเป็นผังกราฟฟิก โดยขั้นที่ 1 ให้เขียนคนที่ ดีดไปได้ไกลที่สุด แล้วทำยังไงถึงไปได้ไกล โดยไล่ลำดับ 2 3 4 ลงมาเรื่อยๆ เป็นต้น
                โดยกลุ่มของเรา จะทำของเล่น ชื่อว่า พลังปริศนา โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1.ร้องเพลงสงบเด็ก
2.เตรียมอุปกรณ์วางให้เด็กดูหน้าห้องเรียน แล้วถามเด็กว่า “เด็กๆคิดว่าวันนี้เราจะมาทำอะไรกัน”
3.แนะนำอุปกรณ์โดยใช้คำถามว่า “เด็กๆรู้จักอุปกรณ์ชิ้นไหนบ้างที่อยู่ตรงนี้ แล้วสามารถนำอุปกรณ์เหล่านี้ไปทำอะไรได้บ้าง” โดยถ้าอุปกรณ์ชิ้นไหนที่เด็กไม่รู้จัก ให้ครูบอกชื่ออุปกรณ์นั้น (ยกขึ้นมาให้เด็กดู) แล้วให้เด็กพูดชื่ออุปกรณ์นั้นตามครู
4.แนะนำอุปกรณ์
                1.แผ่นซีดี 1 แผ่น
                2.ฝาขวดน้ำ 1 ฝา
                3.หน่วยวัด (ใช้คืบในการวัด) 1 คืบ
                4.สายยาง 1 เมตร
5.เปิดคลิปวิดีโอ
6.สาธิตการประดิษฐ์ พลังปริศนา โดยพูดกับเด็กว่า “วันนี้ครูมีกิจกรรมมาให้เด็กๆทำด้วย โดยครูจะทำให้ดูก่อนหนึ่งรอบ แล้วเด็กคนไหนนั่งเรียบร้อยที่สุด จะได้ออกมาช่วยครู” เป็นการทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการวัดความยาวของสายยาง
7.ขั้นตอนการทำ
                1.ใช้กรรไกรหรือคัตเตอร์เจาะรูที่ฝาขวดให้มีขนาดพอดีกับสายยางที่เตรียมไว้
                2.นำสายยางใส่เข้าไปในรูฝาขวด
                3.ติดกาวบริเวณที่เจาะรูทั้งด้านนอกและด้านในของฝาขวด ทิ้งไว้ให้กาวแห้ง
                4.เมื่อกาวแห้งแล้ว นำฝาขวดติดกับแผ่นซีดี
8.ใช้คำถามว่า "วิธีการที่ทำให้แผ่นซีดีลอย ทำได้อย่างไรบ้าง" จากนั้นถามว่า "ถ้าเป่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น" แล้วชวนเด็กไปทดลอง
9.ให้เด็กแข่งขัน โดยครูกำหนดบริเวณ(พื้นที่การแข่งขัน) โดยเป่าซีดีได้เพียงหนึ่งครั้ง ถ้าของคนไหนไปได้ไกลกว่าเป็นผู้ชนะโดยมีเครื่องมือในการวัด คือ คืบ (รูปมือขนาด 1คืบ) ถามเด็กว่า “ทำไมของ(เด็กที่ชนะ)ถึงไปได้ไกลกว่าเพื่อน” จากนั้นบันทึกลงผังกราฟฟิก เหตุผลที่ไกล-ใกล้กว่า จะทำให้เด็กได้สังเกต --- เกิดการเปรียบเทียบ --- ได้ข้อมูล --- นำมาพิจาณาเลือก/ตัดสินใจ
10.สรุปผลการทดลอง ถามเด็กว่า “เด็กๆคิดว่าแผ่นซีดีลอยได้เพราะอะไร”



                การนำไปประยุกต์ใช้
                สามารถนำไปใช้ได้จริงในอนาคต โดยของเล่นที่ประดิษฐ์ เป็นการประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ และเด็กสามารถทำได้เอง อีกทั้งเด็กยังได้เล่น เพราะการเล่นเป็นวิธีการเรียนรู้ของเด็ก
                การประเมิน
                การประเมินตนเอง ช่วยระดมความคิด ฟังกลุ่มอื่นแล้วนำมาปรับปรุงของกลุ่มตนเอง
                การประเมินเพื่อน เพื่อนๆช่วยกันฟัง ทั้งกลุ่มของตนเอง และกลุ่มของคนอื่น เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป

                การประเมินผู้สอน ครูบอกข้อดีและข้อเสียของกิจกรรม คอยแนะนำ ว่าควรปรับปรุงอย่างไรตรงไหน เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำไปสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                การประเมินสภาพแวดล้อม แอร์หนาวมาก บรรยากาศสนุกสนานแต่ก็แอบตึงเครียดเล็กน้อยตอนที่ต้องออกไปนำเสนองาน